8เคล็ดลับ รักษาความสะอาดห้องครัวเพื่อสุขอนามัยที่ดี
ความสะอาดในห้องครัวเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง! เพราะเป็นสถานที่ที่เราต้องใช้ประกอบอาหาร แล้วทานเข้าไปทุกวัน ถ้าหากปล่อยให้สกปรก อาหารที่เรากินเข้าไปก็จะไม่ปลอดภัย อาจจะมีเชื้อโรคติดเข้าไป และอาจทำให้เราเป็นโรคร้ายแรงได้
ดังนั้น มาป้องกันไว้ดีกว่าปล่อยแล้วแก้ทีหลังดีกว่า! เริ่มดูแลความสะอาดให้กับห้องครัวเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขอนามัยของคุณและคนที่คุณรัก
และเพื่อเป็นการสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขอนามัย ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี วันนี้เราจึงได้เลือกนำเสนอ 8 เคล็ดลับง่ายๆ ในการดูแลความสะอาดห้องครัว ลองมาดูกันเลยว่ามีวิธีไหนบ้าง ดูแล้วอย่าลืมนำไปปฏิบัติจริงด้วยนะคะ
1. ห้องครัวต้องมีที่ระบายอากาศ
คุณอาจใช้วิธีทำหน้าต่างบานเกล็ด ทำพัดลมระบายอากาศ หรือเปิดหน้าต่าง-ประตูทิ้งไว้ขณะทำอาหารก็ได้ เพื่อให้อากาศได้ถ่ายเทเข้าออก และกลิ่นอาหารได้ระบายออกไปข้างนอกบ้าง เพราะถ้าหากปล่อยให้สะสมอยู่ในบ้านนานๆ จะเกิดกลิ่นเหม็นได้ และนั่นจะพลอยทำให้คุณรู้สึกว่าห้องครัวไม่สะอาดไปด้วย
2. อย่าหมักถ้วยชามเอาไว้เป็นกองภูเขา
ล้างถ้วย จาน ช้อน ส้อม ทุกครั้งหลังทานอาหารเสร็จ หลายคนอาจขี้เกียจ ชอบทิ้งไว้ในอ่างล้างมือ คิดว่าค่อยมาล้างทีหลัง แต่สุดท้ายแล้วก็มักไม่ได้ล้าง กลายเป็นทิ้งหมักไว้กองเท่าภูเขา ผลที่ตามมาคือเศษอาหารเน่าจนเกิดกลิ่นเหม็นหึ่งและมีแมลงหวี่มาตอม และแมลงหวี่เหล่านี้สามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วมาก ยิ่งมีเศษอาหารทิ้งๆเหลือๆยิ่งสะดวกทางพวกมัน พวกมันจะวางไข่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ถัดจากไข่ก็กลายเป็นหนอน และกลายเป็นแมลงหวี่บินตอมเศษอาหารไปมา น่าขยะแขยงสุดๆ! เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ก็อย่าขี้เกียจล้างจานเป็นอันขาด
3. ใช้วัตถุดิบบางชนิดช่วยดับกลิ่น
เช่น เอาเปลือกมะนาว เปลือกส้ม หรือกลีบหัวหอมไปต้มไฟอ่อนๆ กลิ่นที่ได้ออกมาจากตรงนี้จะสามารถดับกลิ่นเหม็นต่างๆนานาในครัวได้
หรือถ้าหากใครอยากให้สะดวกกว่านี้ ก็อาจเลือกใช้น้ำหอมปรับอากาศชนิดแผ่นแทนได้ ซื้อมาสักแผ่นแล้วเอามาแขวนในห้องครัว เพราะน้ำหอมปรับอากาศแบบแผ่นกลิ่นจะไม่ฉุนเท่ากับแบบน้ำ เหมาะสำหรับสถานที่ประกอบอาหารอย่างห้องครัว
4. ควรโละตู้เย็นบ้างเป็นครั้งคราว
ดีที่สุดคืออาทิตย์ละครั้ง ลองตรวจดูว่ามีอาหารอะไรที่เน่า บูด หรือไม่ได้กินนานมากแล้วบ้าง ถ้าตรวจเจอควรเอาไปทิ้งเสีย เพราะอาหารที่เสียแล้วจะส่งกลิ่นกวนอาหารอย่างอื่นในตู้เย็นได้ นอกจากนี้ถ้าหากมีราขึ้นด้วยจะยิ่งอันตรายมาก
5. ทำความสะอาดเขียงไม้อย่างถูกวิธี
เขียงไม้จะทำความสะอาดยากกว่าเขียงพลาสติก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณใช้หั่นอาหารที่มีกลิ่นฉุนๆอย่างหัวหอม หรือกระเทียม การใช้แค่น้ำยาล้างจานอาจไม่ได้ผล เราขอแนะนำให้ลองใช้น้ำส้มสายชูแทนดูก่อน จะกำจัดกลิ่นได้ดีกว่า
6. กำจัดกลิ่นอาหารที่อยู่ในกล่องพลาสติก
กล่องใส่อาหารแบบพลาสติก บางครั้งหลังจากเอามาล้างแล้วก็ยังมีกลิ่นอาหารอยู่ วิธีแก้คือให้ลองเอากระดาษหนังสือพิมพ์ยัดเข้าไปข้างใน แล้วทิ้งไว้สัก 1 คืน รุ่งเช้ากลิ่นจะหายได้
7. ควรมีสบู่สูตรฆ่าเชื้อโรคติดไว้ในครัวด้วย
จะเป็นสบู่ก้อน สบู่เหลว หรือสบู่โฟมก็ได้ ไว้ใช้สำหรับล้างมือหลังประกอบอาหารเสร็จ นอกจากนี้ยังอาจเอาผสมกับน้ำ ใช้ผ้าขนหนูชุบ แล้วเช็ดเคาน์เตอร์ หรือรอบๆเตาทำอาหารให้สะอาดก็ได้
8. เอาดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมๆเข้ามาประดับ
เช่น อาจจะตัดกุหลายเข้ามาปักแจกันสักช่อสองช่อ จะได้กลิ่นหอมที่เป็นธรรมชาติ และยิ่งหมั่นรักษาความสะอาดในห้องครัวควบคู่กันไปด้วย รับรองได้ว่าจะไม่มีกลิ่นเหม็นมากวนใจแน่นอน
Cr.ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก homify.co.th
เป็นยังไงบ้าง ไม่ยากใช่ไหม? กับวิธีการทำความสะอาดห้องครัวให้ได้สุขอนามัยที่ดี
สำหรับแม่บ้านมาซากิ” จัดหาแม่บ้านที่ดีที่สุด เพื่อคุณ งานบ้าน…งานที่น่าปวดหัวสำหรับใครหลายคน ซึ่งในแต่ละวันนอกจากคุณจะต้องจัดการกับหลากหลายภาระเรื่องงาน และครอบครัวแล้วยังต้องแบ่งเวลาเพื่อสวมบทแม่บ้านที่ต้องดูแลบ้าน ไม่ว่าจะเป็น งานปัดกวาด เช็ดถู ซักรีด รวมถึงการทำกับข้าว ยังต้องทำภายใต้ระยะเวลาที่ค่อนข้างจำกัด แถมยังต้องต่อสู้กับความเหนื่อยล้าของร่างกายในแต่ละวันอีกด้วย สามารถเลือกใช้บริการกับทางแม่บ้านมาซากิ หาแม่บ้าน พี่เลี้ยงเด็ก คนดูแลผู้สูงอายุ
สนใจใช้บริการติดต่อได้ที่
โทร : 063-104-5657
Line : @masaki2013
ข้อดี ข้อเสียของพี่เลี้ยงเด็ก และวิธีเลือกพี่เลี้ยงเด็กให้เหมาะสม
” บางครอบครัว คุณพ่อคุณแม่อาจไม่สะดวกในการเลี้ยงดูเด็ก เนื่องจากต้องทำงาน ติดธุระที่ไม่สามารถพาลูกไปด้วยได้ หรืออาจต้องการ พี่เลี้ยงเด็ก เพื่อมาช่วยดูแลลูก และแบ่งเบาความเหนื่อยล้าของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งการเลือกหาพี่เลี้ยงเด็ก เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัย คุณภาพชีวิต และพัฒนาการที่ดีของเด็กในระหว่างอยู่กับพี่เลี้ยง ”
พี่เลี้ยงเด็ก มีข้อดีอย่างไร
สำหรับบางบ้าน ที่คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องทำงานตลอดทั้งวันจนไม่มีเวลาเลี้ยงดูลูกได้ อาจมีธุระสำคัญที่ไม่สามารถพาลูกไปด้วยได้ หรือมีความต้องการผู้ที่จะมาแบ่งเบาความเหนื่อยล้าในการเลี้ยงเด็ก การหาพี่เลี้ยงเด็กจึงอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่จะมาช่วยดูแลลูก โดยไม่ต้องกังวลว่าลูกจะถูกละเลยหรือไม่ โดยข้อดีของการมีพี่เลี้ยงเด็ก อาจมีดังนี้
1. การดูแลเด็กของพี่เลี้ยงยังคงอยู่ภายในบ้านซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เด็กคุ้นเคย และอยู่ในสายตาของคุณพ่อคุณแม่ จึงอาจคลายความวิตกกังวลเรื่องความปลอดภัยได้
2. สามารถควบคุมความยืดหยุ่นของช่วงเวลาที่ต้องการให้พี่เลี้ยงเด็กมาที่บ้านเพื่อดูแลเด็ก
3. สามารถควบคุมอาหาร เวลานอน เวลาเล่น หรือเวลาอาบน้ำที่เหมาะสมให้กับลูกได้ด้วยตัวเอง โดยการเขียนโน้ตหรือบอกกล่าวพี่เลี้ยงเด็ก
4. สามารถเลือกหาพี่เลี้ยงเด็กตามคุณสมบัติที่ต้องการได้เอง และสามารถตกลงค่าจ้างที่ต้องการได้
พี่เลี้ยงเด็ก มีข้อเสียอย่างไร
การจ้างพี่เลี้ยงเด็กนอกจากจะมีข้อดีแล้วยังอาจมีข้อเสียบางอย่าง ดังนี้
1. พี่เลี้ยงเด็กไม่สามารถดูแลเด็กได้อย่างเหมาะสม ตามข้อตกลง หรืออาจขอลาออกกะทันหัน จึงทำให้ต้องหาพี่เลี้ยงเด็กใหม่บ่อยครั้ง
2. พี่เลี้ยงเด็กที่ไม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาก่อน อาจเสี่ยงที่จะทำให้เด็กเกิดอันตรายได้
3. การจ้างพี่เลี้ยงเด็กให้มาดูแลลูกที่บ้าน อาจทำให้เด็กขาดทักษะการเข้าสังคมกับบุคคลภายนอก และขาดการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
4. เนื่องจากบ้านเป็นพื้นที่ส่วนตัว การจ้างพี่เลี้ยงเด็กซึ่งเป็นคนนอกและให้เข้ามาอยู่ในบ้าน อาจทำให้ความเป็นส่วนตัวลดลง
5. อาจเสี่ยงที่จะเจอมิจฉาชีพ โดยเฉพาะหากจ้างพี่เลี้ยงเด็กจากบุคคลทั่วไป และไม่ได้ทราบถึงข้อมูลความปลอดภัยของบุคคลนั้น
วิธีการเลือกหาพี่เลี้ยงเด็ก
คุณพ่อคุณแม่อาจจำเป็นต้องเลือกพี่เลี้ยงเด็กที่ไว้ใจได้ และเคยมีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็กมาก่อน โดยอาจเลือกจากคุณสมบัติต่อไปนี้
- มีประสบการณ์ พี่เลี้ยงเด็กควรมีประสบการณ์และความรู้ในการเลี้ยงเด็กมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นรู้วิธีการเปลี่ยนผ้าอ้อม การให้นมเด็ก การอุ้มเด็กเรอ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กในระหว่างอยู่กับพี่เลี้ยงเด็ก
- ตรงต่อเวลาและมีระเบียบ การตรงต่อเวลาถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของพี่เลี้ยงเด็ก โดยเฉพาะหากจ้างพี่เลี้ยงเด็กให้มาในช่วงเวลาที่ทุกคนต้องออกไปข้างนอก รวมถึงควรมีระเบียบในการทำตามตารางที่วางไว้ เช่น เวลาอาบน้ำ เวลากินข้าว เวลากินยา เวลาเล่น เวลานอน เพื่อให้เด็กได้ทำกิจกรรมที่เหมาะสมตามตารางที่คุณพ่อคุณแม่วางไว้
- เตรียมความพร้อมสำหรับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น อันตรายอาจเกิดขึ้นได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน การเตรียมความพร้อมในกรณีฉุกเฉินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พี่เลี้ยงเด็กควรรู้ เช่น การทราบสิ่งที่เด็กแพ้ ทราบเบอร์ติดต่อฉุกเฉิน รวมถึงควรสอดส่องดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด
- จิตใจดีและเอาใจใส่ พี่เลี้ยงเด็กที่ดีควรมีความอ่อนโยน เอาใจใส่ เห็นอกเห็นใจ รวมถึงควรเป็นคนใจเย็นหรือสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ เนื่องจากเด็กอาจมีความดื้อรั้น ร้องไห้ งอแงได้ตลอด พี่เลี้ยงเด็กจึงควรมีความเข้าใจธรรมชาติของเด็กให้มากที่สุด
- กระตือรือร้น มีความร่าเริง และสนุกสนาน การดูแลเด็กไม่ใช่เพียงการจัดการให้เด็กทำกิจวัตรประจำวันให้ครบ แต่จำเป็นต้องสร้างความสนุกให้กับเด็กด้วย จึงควรเลือกหาพี่เลี้ยงเด็กที่มีความกระตือรือร้น ร่าเริงและสามารถหากิจกรรมเพื่อสร้างความบันเทิงและเสริมสร้างพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ให้กับเด็กได้ด้วย
- มีความยืดหยุ่น อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ เช่น รถติด ติดธุระกะทันหัน เลิกงานช้ากว่าปกติ จึงอาจทำให้เลยเวลาของพี่เลี้ยงเด็ก จึงควรสอบถามถึงเวลาว่าสามารถยืดหยุ่นได้แค่ไหน
Cr. ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Hello คุณหมอ (ทัตพร อิสสรโชติ)
หากคุณกำลังมองหาพี่เลี้ยงเด็ก สามารถใช้บริการจากศูนย์จัดหาแม่บ้าน พี่เลี้ยงเด็ก คนงานมีผ่านประสบการณ์เลี้ยงน้องมากอย่างยาวนาน
สนใจใช้บริการติดต่อได้ที่
โทร : 063-104-5657
Line : @masaki2013
10เคล็ดลับ การเลี้ยงเด็กให้มีพัฒนาการที่ดีที่สุด
เด็กในวัย 5-12 ปีเป็นช่วงสำคัญของเด็กในการเรียนรู้ทักษะชีวิต สมองของเด็กพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทักษะการใช้กล้ามเนื้อพัฒนาอย่างเต็มที่ คุณพ่อคุณแม่ควรหากิจกรรมให้เด็กได้ปลดปล่อยพลังงานวิ่งเล่น ออกกำลังกาย สังเกตว่าลูกสนใจกีฬาประเภทใดเพื่อให้ลูกได้ออกกำลังกายทุกวัน และบทความนี้จะมาบอกเคล็ลับ การเลี้ยงเด็กยังไงให้มีพัฒนาที่ดีแล้วเร็วที่สุด
1. เลี้ยงจากใจไม่ใช่หน้าที่
การเลี้ยงเด็ก เลี้ยงดูลูกอย่างดีที่สุด อย่างถูกต้อง ต้องเข้าใจว่า ลูกต้องการความรักจากคุณ การเลี้ยงด้วยใจ ไม่ใช่แค่ทำไปตามหน้าที่ และก็ไม่ใช่การตามใจลูกทุกครั้งที่ลูกร้องไห้เช่นกัน สิ่งที่คุณแม่ควรปฎิบัติในการเลี้ยงเด็ก คือการสอนให้ลูกเข้าใจว่าการร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจ หรือการร้องไห้เพื่อให้ได้สิ่งของที่ต้องการ แบบไหนเหมาะสม และสอนให้เขารู้ว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่ลูกร้องไห้แล้วจะได้ทุกอย่างเสมอไป เพื่อให้เขาเข้าใจเหตุผลและไม่เกิดความเครียดได้ค่ะ
2. เลี้ยงลูกด้วยการพูดคุย
ลองจินตนาการดูว่า ลูกคุณถูกเลี้ยงโดยหุ่นยนต์ ไม่มีการพูดการจา ไม่มีการสื่อสารใดๆ ทั้งสิ้น วันๆ ให้เขากินและนอนอย่างเดียว ไม่ได้มอง ไม่ได้เล่น ไม่ได้สมผัส ไม่ได้คิด และพอไม่เกิดสิ่งเหล่านี้สมองก็จะไม่พัฒนาเลย หรือพัฒนาก็ช้ามาก ดังนั้น การเลี้ยงเด็กอย่างได้ผล ให้มีพัฒนาการดี เลี้ยงลูกให้มีสมองที่ฉลาด ให้สื่อสารได้ดี และลดความดื้อ คือการหมั่นพูดคุยกับลูกบ่อยๆ แต่งดการใช้ภาษาแบบเด็ก แต่ต้องพูดเพราะ ด้วยการใช้คำใช้ประโยคที่เข้าใจได้ง่ายๆ ทั่วไป ด้วยความหมายที่เข้าใจได้ทันที เช่น ทานข้าวนะคะ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน สิ่งที่คุณแม่ควรปฎิบัติ: พูดกับลูกโดยใช้ภาษาที่คุณถนัดที่สุด และใช้คำศัพท์ที่หลากหลาย และอย่าประเมินเรื่องการได้ยิน การเข้าใจภาษาของลูกต่ำไป
3. การเลี้ยงดูลูกด้วยการสัมผัส
การเลี้ยงลูกด้วยสัมผัสจะช่วยกระตุ้นความรู้สึกต่างๆของลูกรวมถึงการเรียนรู้ ทั้งยังมีส่วนช่วยให้ลูกรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยมากขึ้นด้วย สิ่งที่คุณแม่ควรปฎิบัติ : พยายามสัมผัสโดยการโอบกอด หอม จับมือ คุณแม่อาจนวดตัวให้ลูกทั่วร่างกายหลังอาบน้ำให้ลูกพร้อมพูดคุยเรื่องต่างๆ ไปด้วยค่ะ
4. เลี้ยงเด็กให้เลียนแบบ
ลูกจะสนใจมองหน้าคุณเป็นพิเศษ เด็กแรกเกิดจะจ้องตาคุณและพยายามเลียนแบบสีหน้าท่าทางของคุณ เช่น การยิ้มหรือการทำหน้าหงุดหงิด สิ่งที่คุณแม่ควรปฎิบัติ : ให้กำลังใจและให้ลูกทำหน้าตาท่าทางเหมือนคุณ เช่น ยิ้ม จ้อง หัวเราะ ทำหน้าดุ แลบลิ้น เพื่อช่วยบริหารใบหน้าลูกด้วย
5. ให้ลูกได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ เองบ้าง
พยายามให้ลูกได้พบเจอและมีส่วนร่วมในสถานการณ์ต่างๆรอบๆตัวเพื่อช่วยเพิ่มทักษะในการเรียนรู้ สิ่งที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยง : การปล่อยให้ลูกดูทีวีไปเรื่อยๆ ไม่ใช่สิ่งที่ช่วยเพิ่มพูนทักษะได้ แต่การให้ลูกได้ออกไปพบเจอสิ่งต่างๆในโลกภายนอกที่เป็นของจริงจะช่วยให้ลูกเรียนรู้ได้ดีกว่าค่ะ
6. เลี้ยงเด็กให้หัดสำรวจ
ส่งเสริมให้ลูกเป็นนักสำรวจได้ด้วยการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีพื้นที่เป็นของตัวเองให้ลูกได้ทำกิจกรรมการค้นหา เช่น ห้องนั่งเล่น สิ่งที่คุณแม่ควรปฎิบัติ : ควรวางสิ่งของที่อาจเป็นอันตรายให้ห่างจากลูกมากที่สุด เก็บสายไฟหรือปลั๊กให้พ้นมือลูก และเลือกของเล่นที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับวัยของลูก
7. เลี้ยงเด็กให้รักการอ่าน
เสริมทักษะการอ่านให้ลูกง่ายๆด้วยการอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่วัยเด็ก ลูกอาจจะไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณเล่า แต่จะรู้สึกสนุกและมีส่วนร่วมกับเสียงหรือท่าทางต่างๆของคุณ และภาพประกอบในหนังสือหรือนิทานนั้น สิ่งที่คุณแม่ควรปฎิบัติ : ให้ลูกมีส่วนร่วมในการเลือกหนังสือหรือนิทาน หนังสือนิทานแบบป๊อบอัพหรือแบบที่มีพื้นผิวให้สัมผัส สามารถเรียกความสนใจจากลูกได้
8. ใช้ดนตรีช่วย
การเลี้ยงเด็กให้ฉลาด การร้องเพลงหรือเล่นดนตรีให้ลูกฟังส่งผลดีต่อพัฒนาการทางสมองของลูกอย่างมาก โดยเฉพาะเพลงที่มีจังหวะสม่ำเสมอ สิ่งที่คุณแม่ควรปฎิบัติ: ลองแต่งเพลงขึ้นใหม่ อาจเป็นเพลงง่ายๆ สบายๆ เนื้อร้องที่สนุกๆ หรือล้อเลียนเพื่อให้คุณและลูกได้มีเวลาแห่งความสนุกร่วมกัน หรือเปิดเพลงเวลาทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เพลงช้าๆเวลาป้อนอาหาร หรือเพลงสนุกๆ เวลาเล่นกับลูก
9. ปล่อยให้ลูกได้เล่น
การเลี้ยงลูกด้วยการปล่อยให้เด็กได้เล่น ให้มีความสนุก นั่นคือสิ่งที่ลูกเรียนรู้ กิจกรรมและการเล่นช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ให้กับลูกได้ สิ่งที่คุณแม่ควรปฎิบัติ : ลองใช้อุปกรณ์ที่เน้นด้านกราฟฟิค เช่น การ์ดสีสันต่างๆ เพื่อดึงดูดความสนใจและเป็นการฝึกทักษะการเอาใจใส่ไปในตัว และอย่าลืมอธิบายสีและรูปภาพต่างๆ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ไปด้วย
10. ใช้คำชมช่วยเลี้ยงลูก
ให้กำลังใจหรือคำชมเชยเมื่อลูกทำสิ่งที่ถูกต้อง และให้ลูกได้เรียนรู้และสำรวจในสิ่งที่เขาชอบ สิ่งที่คุณแม่ควรปฎิบัติ: ให้กำลังใจลูก เช่น “หนูทำได้นะคะ” หรือ “เก่งมากค่ะ” เวลาที่ลูกทำสำเร็จ และใส่ใจในกิจกรรมที่ลูกทำเพื่อให้เขาไม่รู้สึกกังวลและให้รางวัลตอบแทนเป็นบางครั้ง (วิธนี้ไม่เหมาะกับเด็กโตที่เริ่มพูดคุยได้แล้ว เพราะจะทำให้เขาคิดว่า ต้องเก่งเท่านั้น ต้องทำถูกเท่านั้น ถึงจะดี ถึงจะได้คำชม ซึ่งพ่อแม่ควรอย่าลืมว่า ความผิดพลาดต่างหาก ถึงจะเป็นครูสอนลูกได้ดีที่สุด)
Cr.ขอบคุณจ้อมูลดีๆ จาก DMEN ฮาร์ท ทู ฮาร์ท คลับ
หากคุณกำลังมองหาพี่เลี้ยงเด็ก สามารถใช้บริการจากศูนย์จัดหาแม่บ้าน พี่เลี้ยงเด็ก คนงานมีผ่านประสบการณ์เลี้ยงน้องมากอย่างยาวนาน
สนใจใช้บริการติดต่อได้ที่
โทร : 063-104-5657
Line : @masaki2013
แบบไหนดีกว่าระหว่าง แม่บ้านอยู่ประจำ หรือ แม่บ้านรายวัน
แม่บ้านรายวัน กับ แม่บ้านอยู่ประจำ ถ้ามองแค่ภายนอกอาจคิดว่ามีลักษณะงานที่ใกล้เคียงกัน แต่ถ้าศึกษากันดีๆ จะพบว่ามีความแตกต่างกันมาก ทั้งรูปแบบการจ้างงาน และรายละเอียดการทำงาน และสิ่งที่คุณต้องเรียนรู้เกี่ยวกับแม่บ้านสองรูปแบบนี้มีอะไรบ้าง ตามมาดูในบทความนี้กันเลย
- ซื่อสัตย์สุจริต การจะเป็นแม่บ้านที่ดีนั้น ควรคิดอยู่เสมอว่า เราเป็นบุคคลภายนอกครอบครัวที่เข้ามาทำความสะอาดภายในบ้านของนายจ้าง หากปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตย่อมส่งผลดีต่อความเชื่อใจในระยะยาวได้อย่างแน่นอน
- ขยันขันแข็งในหน้าที่ มีสมาธิในงานที่ต้องทำ แม่บ้านที่ดีต้องใส่ใจทุกรายละเอียดของการทำงานบ้าน เพราะเป็นงานที่ละเอียดอ่อนและจุกจิก ยิ่งใครที่ทำความสะอาดได้ดีและมีความเป็นระเบียบ นายจ้างจะมีความสุขและอยากต้องการจ้างแม่บ้านคนนี้ทำงานต่อไปนานๆ และอาจเพิ่มโอกาสในการเติบโตในสายงานแม่บ้านในอนาคต
- ไม่เอาเรื่องราวในบ้านนายจ้างไปเม้ามอยต่อภายนอก หากนายจ้างรู้ว่าลูกจ้างนำเรื่องราวภายในบ้านไปพูดกับคนอื่นข้างนอกในทางไม่ดี อาจเกิดปัญหาตามมาในระยะยาวได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปสนใจกับเรื่องราวของนายจ้างและหันมาสนใจกับการทำงานของเราจะดีกว่า
- หน้าตาเป็นมิตร และยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างอารมณ์ดี นายจ้างทุกคนคงอยากเห็นแม่บ้านมีความสุขกับงานที่ทำผ่านสีหน้า แววตา หรือท่าทาง ดังนั้น หากนายจ้างจะจู้จี้จุกจิกบ้าง อยากให้แม่บ้านมีสติ ระงับอารมณ์ ไม่แสดงสีหน้าท่าทางออกมา และทำตามเป้าหมายในเนื้องานที่ทำ พร้อมพึงระลึกเสมอว่า ไม่มีใครที่อยากร่วมงานกับคนที่มีสีหน้าไม่พอใจตลอดเวลา หากมีปัญหาเรื่องการทำงานจริงๆ ควรปรึกษาแอดมินหรือเซลส์ที่ให้งานคุณ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไป
แม่บ้านรายวัน กับ แม่บ้านอยู่ประจำ แตกต่างกันอย่างไร
แม่บ้านรายวันกับแม่บ้านประจำ จะแตกต่างกันตามสถานการณ์การทำงาน และรูปแบบการทำงาน ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้
1. รูปแบบการจ้างงาน และการเดินทางไปบ้านนายจ้าง
อย่างที่ทราบกันว่า การจ้างแม่บ้านรายวัน กับแม่บ้านอยู่ประจำ จะแตกต่างกัน โดยแบบรายวันนั้น จะจ้างกันเป็นช่วงสั้นๆ อาจจะเป็นรายชั่วโมง รายวัน หรือรายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับลักษณะงานของนายจ้างที่อยากให้แม่บ้านทำ ซึ่งนอกจากต้องทำงานให้ได้ตามมาตรฐานของแม่บ้านแล้ว แม่บ้านรายวันเองต้องบริหารจัดการเวลาให้ดีๆ ตั้งแต่การเดินทางไปยังบ้านนายจ้าง จะโหนรถเมล์ นั่งจักรยานยนต์รับจ้าง นั่งรถไฟฟ้า ลงเรือ เดินเข้าซอย ต้องดูว่าบ้านนายจ้างอยู่ที่ใด หากไปผิดนอกจากเสียเวลาแล้ว อาจจะโดนนายจ้างตำหนิได ส่วนการเป็นแม่บ้านรายเดือนจะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง โดยได้รับมอบหมายงานให้ทำตามแผนงานในแต่ละวันที่ชัดเจน ทำให้มาตรฐานในการทำความสะอาดจะมีประสิทธิภาพตลอดเวลา และนายจ้างสามารถประเมินผลงานได้ตลอดเวลาเช่นกัน
2. ความคุ้นเคย และความไว้วางใจระหว่างนายจ้างกับแม่บ้าน
แม่บ้านที่เข้ามาทำงานบ้านของนายจ้าง เปรียบเสมือนพนักงานบริษัท หรือคนในครอบครัวที่จะเห็นหน้ากันบ่อยจนสนิทสนมกัน หากวัดผลเรื่องความไว้วางใจและความคุ้นเคยภายในบ้าน แม่บ้านอยู่ประจำ ย่อมคุ้นเคยและทำงานโปร่งใสให้นายจ้างสบายใจมากกว่า ส่วนแม่บ้านรายวัน ก็สามารถทำงานให้นายจ้างไว้วางใจได้ดีเช่นกัน แต่จะต้องแจ้งนายจ้างตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนเริ่มงาน ว่า หากจะเข้าออกห้องส่วนตัวเพื่อทำความสะอาด หรือมีของมีค่า ต้องรีบแจ้งนายจ้างทันทีว่า เราเป็นแม่บ้านรายวัน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเรามาทำงาน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับของมีค่าหรือของใช้ส่วนตัวนายจ้าง
3. ทักษะพิเศษของแม่บ้าน
ทักษะพิเศษของแม่บ้านแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน เช่น ทำอาหาร การซักรีดผ้า การเลี้ยงเด็ก การดูแลต้อนรับแขก หรือการวางตัวที่ดี สิ่งนี้จะไม่เห็นจากแม่บ้านรายวัน เนื่องจากแม่บ้านกลุ่มนี้มีรูปแบบการจ้างงานที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสให้แสดงทักษะในส่วนนี้ แตกต่างจากแม่บ้านอยู่ประจำ จะมีโอกาสให้นายจ้างได้รู้จักและเห็นว่าแม่บ้านกลุ่มดังกล่าวทำอะไรได้มากมาย เช่น การทำอาหารให้ครอบครัวของนายจ้าง การต้อนรับแขกของนายจ้าง ซึ่งจะทำให้การใช้ชีวิตของนายจ้างสะดวกสบายมากขึ้น
4. ค่าใช้จ่ายในการหาแม่บ้าน
การจัดหาแม่บ้านรายวัน กับแม่บ้านอยู่ประจำ จะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ เช่น สัญชาติ อายุ ประสบการณ์การทำงาน ทักษะพิเศษ รูปแบบการจ้างงานที่อาจจะจ้างเป็นงานๆ ไป หรือ จ้างให้ดูแลบ้านเป็นแม่บ้านรายเดือน เป็นต้น ซึ่งแม้ว่าหากนับเป็นเงินก้อนรายเดือน แม่บ้านอยู่ประจำจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า แต่ถ้าเทียบกับปริมาณของงานแม่บ้านรายวันจะสูงกว่า
5. มาตรฐานการทำงานของแม่บ้าน
หากพิจารณามาตรฐานการทำงานของแม่บ้านแล้ว แม่บ้านรายวัน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีสังกัดบริษัทจัดหางาน จะมีรูปแบบการทำงาน หรือมาตรฐานการทำงานที่แตกต่างจากแม่บ้านอยู่ประจำ เมื่อพิจารณาผลงานการดูแลความสะอาดภายในบ้านจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับนายจ้างในแต่ละครั้งซึ่งจะมีทั้งถูกใจและไม่ถูกใจ ทำให้นายจ้างบางคนตัดสินใจหาแม่บ้านประจำผ่านศูนย์จัดหาแม่บ้านที่เชื่อถือได้ เพราะนอกจากจะการันตีในเรื่องของความเป็นมืออาชีพแล้ว แม่บ้านที่สังกัดบริษัทจัดหางานจะต้องผ่านการตรวจสอบประวัติ ผ่านการฝึกอบรมทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ รวมทั้งผ่านการทดลองงานจริง จึงมั่นใจได้ว่าแม่บ้านที่จ้างไปนั้นคุณภาพคุ้มราคาอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ รูปแบบการทำงาน และการจ้างของแม่บ้านรายวันกับ แม่บ้านอยู่ประจำ จะมีความแตกต่างกัน ทำให้นายจ้างมีตัวเลือกมากขึ้นว่าต้องการจ้างแม่บ้านรูปแบบใดเพื่อให้คุ้มค่าปริมาณงานกับงบประมาณที่เสียไป รวมทั้งความสะดวกในรูปแบบต่างๆ ที่นายจ้างต้องนำมาเปรียบเทียบกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่แม่บ้านควรตระหนัก คือ ต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอทั้งในเรื่องความรู้ความเข้าใจในวิชาชีพ และประสบการณ์การทำงานที่สามารถทำให้นายจ้างประทับใจได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่แม่บ้านทั้งสองรูปแบบ ต้องทำคือ ตั้งใจทำงานอย่างมีคุณภาพ รักษามารยาท และให้เกียรตินายจ้างอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แม่บ้านได้มีงานทำและสร้างรายได้ไปนานๆ และหากใครที่ต้องการหางานแม่บ้านอย่างมีคุณภาพ มองหาศูนย์จัดหาแม่บ้านที่มีความน่าเชื่อถือ และมีการอบรมทักษะอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญ ควรรักษาจรรยาบรรณในวิชาชีพอย่างเคร่งครัด เพื่อให้งานแม่บ้านเป็นงานที่ใช่สำหรับคุณ
Cr. ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Kiidu
เคล็ดลับ การรักษาพี่เลี้ยงเด็กให้อยู่ได้นาน!
” ในปัจจุบันความต้องการหาพี่เลี้ยงเด็กเพิ่มเป็นจำนวนมาก และคนส่วนใหญ่เลือกจ้างพี่เลี้ยงเด็กผ่าน จากศูนย์จัดหาแม่บ้าน มาช่วยดูแลในยามที่คุณไปทำงานหรือติดธุระ เมื่อคุณได้คัดเลือกพี่เลี้ยงเด็กดี ๆ มาดูแลลูกของคุณแล้ว การที่จะรักษาให้พี่เลี้ยงเด็กดูแลลูกของคุณไปนาน ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เรามาดูเคล็ดลับรักษาพี่เลี้ยงเด็กให้อยู่นาน ๆ กันเลย “
1. คุณต้องแสดงให้พี่เลี้ยงเด็ก รู้ว่าคุณต้องการให้เธออยู่นานแค่ไหน
ส่วนใหญ่ผู้ปกครองมักต้องการหาพี่เลี้ยงเด็กอยู่กับลูกคุณนาน ๆ จนกว่าลูกจะเข้ามหาวิทยาลัย ถึงพี่เลี้ยงของพวกเขาจะไม่ได้คิดที่จะอยู่นานขนาดนั้น หากคุณต้องการให้พี่เลี้ยงของคุณอยู่นาน ๆ จงพูดคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังกับพี่เลี้ยงของคุณ บอกให้พี่เลี้ยงรู้ว่าคุณต้องการให้พี่เลี้ยงทำงานกับคุณนานแค่ไหน คุณคิดว่าความต้องการของคุณจะเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อลูกของคุณโตขึ้น และคุณมองว่าบทบาทของพี่เลี้ยงเด็กจะเปลี่ยนไปพร้อมกับความต้องการของคุณอย่างไร นอกจากนี้ถามพี่เลี้ยงเด็กของคุณว่าเป้าหมายระยะยาวของเธอคืออะไร และเธอจะเห็นบทบาทของเธอในครอบครัวของคุณในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอย่างไร ไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตได้ แต่อย่างไรก็ตามหากคุณและพี่เลี้ยงเข้าใจตรงกันและทราบความต้องการของกันและกันตั้งแต่แรก มีโอกาสที่สิ่งต่างๆ จะออกมาดีตามที่คุณต้องการ
2. คุยกับพี่เลี้ยงเด็กตรงๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าพี่เลี้ยงเด็กมีลูกของตัวเอง หากคุณต้องการดูแลพี่เลี้ยงเด็กในระยะยาว เป็นไปได้ว่าพี่เลี้ยงของคุณอาจมีลูกเป็นของตัวเองในช่วงเวลานั้น ลองนึกดูว่าคุณต้องจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างไร คุณยินดีที่จะหาพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราวเข้ามาหรือไม่ ถ้าพี่เลี้ยงเด็กของคุณต้องลาเพื่อคลอดบุตรเป็นเวลานาน? คุณสบายใจไหมที่พี่เลี้ยงพาทารกแรกเกิดมาทำงานกับเธอด้วย แม้ว่าคุณจะไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้โดยละเอียดได้จนกว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์นั้น แต่คุณสามารถพูดคุยอย่างตรงไปตรงมากับพี่เลี้ยงที่เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าวได้
3. สร้างแรงจูงใจทางการเงิน
เงินไม่ใช่เหตุผลสำหรับพี่เลี้ยงเด็กบางคนที่จะตัดสินใจรับงานหรือทำงานต่อ อย่างไรก็ตามเงินก็ยังมีความสำคัญเป็นหนึ่งในหลายปัจจัยที่เธอพิจารณาเมื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการทำงานกับคุณ พี่เลี้ยงเด็กอาจพิจารณาโบนัสก้อนโตเมื่อปีก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพี่เลี้ยงเด็กของคุณจริงจังกับการเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกของคุณด้วยความมุ่งมั่นในระยะยาว
4. เป็นนายจ้างที่ดี ให้กับพี่เลี้ยงเด็ก
พี่เลี้ยงเด็กของคุณมีความรู้สึกอยากทำงานต่อไป หากเธอได้รับการปฏิบัติอย่างดี สิ่งที่เรียบง่ายสามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมากในความพึงพอใจในงานของเธอ ผู้จ้างงานอย่าลืมกล่าวขอบคุณสำหรับงานที่พี่เลี้ยงเด็กของคุณทำได้ดี
5. สร้างความคาดหวังของคุณให้ชัดเจนในวันแรก
ตลอดกระบวนการหาพี่เลี้ยงเด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณกำลังตัดสินใจคัดเลือกพี่เลี้ยงเด็ก คุณควรมีความชัดเจนเกี่ยวกับความรับผิดชอบของงานพี่เลี้ยงเด็ก และความคาดหวังที่คุณต้องการจากพี่เลี้ยงเด็ก โดยคุณควรจะเปิดเผยและซื่อสัตย์ต่อผู้มาสมัครงานพี่เลี้ยงเด็ก เมื่อคุณได้คัดเลือกพี่เลี้ยงเด็กได้แล้ว คุณควรแจ้งหน้าที่ และภาระผูกพันของพวกเขาอย่างชัดเจนในข้อตกลงการทำงานในตำแหน่งพี่เลี้ยงเด็ก ซึ่งจะได้รับการตรวจสอบ และลงนามโดยทั้งสองฝ่าย นอกเหนือจากข้อตกลงในการทำงาน คุณอาจจะต้องจดสิ่งที่พี่เลี้ยงเด็กต้องทำสำหรับวันนั้น ๆ เพิ่มเติมด้วย ซึ่งจะช่วยให้พี่เลี้ยงเด็กเข้าใจตรงกันว่าต้องทำอะไร
6. เขียนกฎบ้านของคุณลงไปในกระดาษ
กฎบ้านของคุณ อาจมากกว่าที่คุณระบุไว้ในข้อตกลงการทำงาน แต่การเขียนลงไปอาจเป็นประโยชน์ เช่น เมนูอาหารตามโภชนาการ รายการทีวีหรือภาพยนตร์ที่เหมาะสม กิจกรรมที่อนุญาตสำหรับเด็ก และอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยลดความเข้าใจผิดระหว่างพี่เลี้ยงเด็กและคุณได้
7. แก้ไขปัญหาแต่เนิ่นๆ จัดการกับปัญหาใด ๆ
ทันทีที่เกิดขึ้น วิธีการนี้จะทำให้คุณได้ใช้เวลามากขึ้นในการค้นหาวิธีการแก้ปัญหา และมีเวลาสร้างความตึงเครียดน้อยลง คุณอาจต้องปล่อยให้อารมณ์รุนแรงผ่านไปก่อนที่จะเริ่มการสนทนาที่สงบและมีประสิทธิผล นอกจากนี้ในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และพี่เลี้ยง ต้องใช้เวลาทำความรู้จักกันจริงๆ คุณจะไม่สามารถอ่านใจของกันและกันได้ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะแก้ไขปัญหาแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่จะได้รักษาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในขณะที่ พี่เลี้ยงเด็กของคุณรู้สึกสบายใจกับคุณ และลูก ๆ มากขึ้น
8. ทำสรุปกิจวัตรประจำวั นและรายสัปดาห์
หลังกลับจากที่ทำงานอาจเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุดสำหรับคุณ เด็ก ๆ รีบวิ่งเข้ามาหาคุณและรู้สึกมีความสุขที่ได้พบคุณ รวมทั้งได้นั่งทานอาหารเย็นบนโต๊ะพร้อมคุณ พี่เลี้ยงเด็กของคุณพร้อมที่จะกลับบ้านหลังเลิกงาน ในกรณีนี้คุณสามารถทำสรุปกิจวัตรประจำวันและรายสัปดาห์ สามารถเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรได้ และไม่จำเป็นต้องเป็นการสรุปด้วยวาจาก็ได้
9. อย่าคาดหวังให้เงิน มาแก้ปัญหาของคุณ
เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับพี่เลี้ยงเด็ก มันอาจจะน่าดึงดูดใจที่จะให้ของขวัญหรือให้เงินเพิ่มกับพี่เลี้ยงเด็กในรูปแบบของโบนัสหรือเงินเพิ่มมากขึ้น เพื่อแสดงความขอบคุณพี่เลี้ยงเด็กสำหรับรางวัลในการทำงานได้ดีและคุณจำเป็นต้องสื่อสารออกไป โดยระบุให้ชัดเจนว่าเหตุใดพี่เลี้ยงของคุณจึงได้รับโบนัสหรือเงินเพิ่ม
10. อย่าพูดเฉพาะเมื่อมีอะไรผิดพลาด
หากครั้งเดียวที่คุณพูดคุยกับพี่เลี้ยงเด็กเธอทำอะไรผิดหรือล้มเหลวในการทำงาน คุณจะไม่มีพนักงานที่มีความสุข หรือคนที่จะทำงานให้คุณอีกต่อไป หาเวลาชมพี่เลี้ยงสำหรับสิ่งที่เธอทำถูกต้องหรือขอบคุณเธอที่ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือไม่คาดคิด วิธีนี้จะช่วยให้พี่เลี้ยงของคุณมุ่งมั่นกับงานของเธอและรู้สึกดีกับคุณเป็นอย่างมาก
การรักษาพี่เลี้ยงเด็กจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการได้พี่เลี้ยงเด็กดี ๆ สักคน เป็นเรื่องที่ยาก ถ้าคุณเจอพี่เลี้ยงเด็กคนนั้นแล้ว ควรจะดูแล รักษา พี่เลี้ยงเด็กอย่างดี และให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างสมเหตุสมผล เพื่อให้พี่เลี้ยงเด็กดูแล เป็นเพื่อนรู้ใจกับลูกของคุณไปอีกนานจนกระทั่งโต หากคุณกำลังมองหาพี่เลี้ยงเด็กดี ๆ สักคน Maid Inter Service บริษัทจัดหาพี่เลี้ยงเด็ก แม่บ้าน ที่มีคุณภาพ ได้รับมาตรฐาน และถูกต้องตามกฎหมายยินดีให้บริการ
ขอบคุณเรื่องราวดีดีจาก Cr. Maid Home
5 บริการทำความสะอาดบ้านที่นิยม
1. บริการทำความสะอาดทั่วไป
บริการนี้นับว่าเป็นบริการทำความสะอาดมาตรฐานที่ต้องมี โดยเป็นการทำความสะอาดทั่วไปภายในอาคาร เช่น การถูพื้น เช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ ประตูและหน้าต่าง เป็นต้น ที่อาจจะนับการให้บริการเป็นแบบ “รายครั้ง” และมีการกำจัดพื้นที่ในการทำความสะอาด หรือเป็นบริการทำความสะอาดที่คำนวณราคาตามขนาดพื้นที่หน้างาน และจะมีพนักงานทำความสะอาดเข้ามาทำความสะอาดให้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งจะมีพนักงานเข้ามาทำความสะอาดในจำนวนไม่มากนักหรือตามขนาดของพื้นที่
2. บริการแม่บ้านประจำ รายวัน รายเดือน
เป็นหนึ่งในบริการที่บริษัทหรือองค์กรที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สำนักงานหรือออฟฟิศให้เช่าเล็กๆ มักเลือกใช้งานกัน เพื่อให้พื้นที่ทำงานสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้พนักงานออฟฟิศสามารถเข้ามาทำงานได้อย่างเต็มที่ หมดกังวลเรื่องสิ่งสกปรกได้นั่นเอง โดยขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างบริษัททําความสะอาดกับผู้ใช้บริการ บริการแม่บ้านอาจเป็นบริการแบบรายวัน แม่บ้านรายเดือน หรือบริการแม่บ้านอยู่ประจำ ระยะยาว และเริ่มต้นที่จำนวนแม่บ้าน 1 คนในการเข้ามาทำความสะอาด หากต้องการแม่บ้านเพิ่มก็อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
โดยส่วนใหญ่แล้ว บริการแม่บ้านมักจะมีขอบเขตการทำงานที่มากกว่า โดยนอกจากการกวาดและถูพื้นหรือเช็ดฝุ่นเฟอร์นิเจอร์แล้ว อาจรวมไปถึงการจัดเก็บชั้นวางสิ่งของ ทำความสะอาดพื้นที่ครัว รวมถึงเช็ดประตูและกระจกต่างๆ นอกจากนี้ การจ้างแม่บ้านจากบริษัททําความสะอาดยังมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยต่อทรัพย์สินมากกว่าการจ้างแม่บ้านบุคคล ได้แม่บ้านที่เป็นมืออาชีพ และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว
3. บริการทำความสะอาดใหญ่ (Big Cleaning)
Big Cleaning หรือการทำความสะอาดครั้งใหญ่ มักจะเป็นการให้บริการทำความสะอาดที่ทีมงานพนักงานผู้มีความเชี่ยวชาญจำนวน 5-6 คนหรือมากกว่านั้น พร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาดเฉพาะทางเข้ามาดูแลทำความสะอาดพื้นที่ อาทิ เครื่องดูดฝุ่นอุตสาหกรรม เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง หรือเครื่องขัดพื้น เป็นต้น โดยจะเป็นการดูแลและเก็บรายละเอียดทำความสะอาดทุกห้องและทุกซอกทุกมุมของบ้านหรืออาคารนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้น กำแพง เพดาน ไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้และเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นภายในบ้านที่สามารถทำได้
โดยทั่วไป บริการทำความสะอาดประเภทนี้มักจะใช้เมื่อเจ้าของบ้าน อาคาร หรือสถานที่ต่างๆ ต้องการทำความสะอาดแบบหมดจนในทุกซอกทุกมุม เช่น หลังจากปลูกบ้านเสร็จ เพื่อขจัดฝุ่นและสิ่งสกปรกที่หลงเหลือ บ้านที่พึ่งย้ายเข้าหรือย้ายออก อาคารที่ไม่ได้ทำความสะอาดมานาน หรือทำความสะอาดเพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับจัดงาน ด้วยความละเอียดของงานทำความสะอาด จึงทำให้มีราคาที่สูงกว่าบริการทำความสะอาดอื่นๆ แต่ก็คุ้มค่าอย่างมากเลยทีเดียว
4. บริการจัดการดูแลสวน
ใครที่มีบ้านอยู่ในโครงการหมู่บ้านจัดสรรคงอาจเคยเห็นพนักงานเข้ามาทำความสะอาด รดน้ำต้นไม้ ตัดไม้ และดูแลสวนโดยรวมแบบเป็นระยะๆ ซึ่งบริการจัดการดูแลสวนนั้นก็เป็นหนึ่งในบริการทำความสะอาดบ้านที่เป็นที่นิยม แม้จะไม่เป็นที่รู้จักในระดับครัวเรือน แต่หมู่บ้าน คอนโด หรือพื้นที่สำนักงานที่มีสวนขนาดใหญ่มักเข้าใช้บริการนี้อยู่เป็นประจำ แต่หากเจ้าของบ้านท่านใดที่มีพื้นที่สวนขนาดใหญ่ ก็สามารถใช้บริการนี้ได้เช่นกัน โดยบริการจัดการดูแลสวนครอบคลุมตั้งแต่การดูแลต้นไม้ ตัดหญ้า ตัดแต่งต้นไม้ รวมไปถึงขนย้ายทิ้ง ส่วนค่าบริการนั้นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ที่ทางบริษัทประเมิน
5. บริการฉีดพ่นฆ่าเชื้อ
ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดอย่างหนัก ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันบ้านและสถานที่จากเชื้อโรคและแบคทีเรียต่างๆ มากขึ้น บริการฉีดพ่นฆ่าเชื้อไวรัสจึงเป็นหนึ่งในบริการทำความสะอาดที่หลายคนรู้จักและอาจเคยใช้บริการ เพื่อกำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียในพื้นที่ปิดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยและสัตว์เลี้ยง โดยบริการฉีดพ่นฆ่าเชื้อนั้นจะอาศัย “เครื่องพ่นฝอยละอองละเอียด” ในการกระจายผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อในพื้นที่ปิด ในด้านของราคาค่าบริการก็จะถูกคำนวณตามขนาดพื้นที่เช่นเดียวกับบริการทำความสะอาดอื่นๆ อย่างไรก็ตาม หากท่านใดต้องการใช้บริการนี้ ควรตรวจสอบบริษัททำความสะอาดนั้นๆ ว่ามีความเชี่ยวชาญ มีมาตรฐานรองรับ ใช้งานเครื่องพ่นละอองที่มีประสิทธิภาพและผลิตภัณฑ์ที่สามารถฆ่าเชื้อได้จริง
” ทั้ง 5 บริการทำความสะอาดนี้เป็นที่ได้รับความนิยมและมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ยังมีบริการในรูปแบบอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ การโรยตัวเช็ดกระจกตึกสูง การซักพรม โซฟา ผ้าม่าน และบริการอื่นๆ ที่บริษัททําความสะอาดแต่ละแห่งนำเสนอ “
Cr.Carecleans
ลูกวัยรุ่น : สอนลูกวัยรุ่นอย่างไรให้ได้ผล
เมื่อลูกย่างเข้าสู่วัยรุ่น : พ่อแม่หลายคนอาจกลุ้มใจหรือรู้สึกหงุดหงิดที่ลูกซึ่งเคยว่านอนสอนง่ายเริ่มโต้เถียง ไม่เชื่อฟัง และแสดงพฤติกรรมหลายอย่างที่ทำให้พ่อแม่รู้สึกเป็นห่วง กังวล หรือ รู้สึกขัดหู ขัดตา ขัดใจ
พ่อแม่หลายคนแสดงออกถึงความห่วงใยลูก ด้วยคำพูดบ่น ว่าตักเตือน ตัวอย่างคำพูดที่พ่อแม่มักจะพูดบ่อยๆ เช่น
” อย่าเที่ยวให้มันมากนะ ดูหนังสือซะบ้าง “
” เพื่อนฝูงน่ะ เลือกคบที่ดีๆ มั่ง ไม่ใช่คบแต่ที่เลวๆ เอาแต่มั่วสุมกัน “
” ช่วยกันบ้างสิ งานบ้านน่ะ ต่อไปพ่อแม่ไม่อยู่ไม่มีใครมาคอยช่วยเหลือเก็บกวาดแล้วนะ “
คำพูดเหล่านี้ แม้จะพูดด้วยความห่วงใยและปราถนาดี แต่ผลที่ได้รับ คือ ลูกวัยรุ่นกลับโต้ตอบด้วยความไม่พอใจ ความโกรธ หรือ ถ้อยคำรุนแรงและไม่ทำตาม
ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ หากพ่อแม่มีความเข้าใจธรรมชาติของลูกวัยรุ่น และมีวิธีที่ชาญฉลาดในการพูดคุย การสอน และ การเตือนลูกวัยรุ่น
การพูดคุยกับลูกวัยรุ่นที่ดี
เริ่มต้นด้วยการเข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่น
ความขัดแย้งระหว่างลูกวัยรุ่นกับพ่อแม่นั้น ส่วนใหญ่มาจากการที่พ่อแม่ขาดความเข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่น ตามไม่ทันยุคสมัยของวัยรุ่น จึงมักตัดสินพฤติกรรมของลูกวัยรุ่นด้วยมาตรฐานของพ่อแม่หรือมีความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของวัยรุ่น ซึ่งมีผลให้พ่อแม่และลูกวัยรุ่นมีความขัดแย้งกัน
พ่อแม่จึงควรเรียนรู้ธรรมชาติของวัยรุ่นว่าเป็นวัยที่ต้องการอิสระเป็นตัวของตัวเองและแสวงหาเอกลักษณ์ของตนเองมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายต้องการการยอมรับจากเพื่อนและบุคคลอื่นสูงจึงมักจะเลียนแบบทำตามเพื่อนหรือชอบทำตามกระแสนิยมของสังคม
วิธีการสอนลูกวัยรุ่นให้ได้ผล
แสดงความพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาของลูกวัยรุ่น
สิ่งที่พ่อแม่ทุกคนควรจะกระทำเมื่อลูกเข้าวัยรุ่นก็คือ บอกพวกเขาว่ามีอะไรให้ปรึกษาได้ พ่อแม่พร้อมจะเข้าใจและรับฟังลูกเสมอ พ่อแม่ควรแสดงความใส่ใจลูกด้วยการสังเกตว่าลูกมีสีหน้าท่าทางไม่สบายใจหรือไม่ ทักทายลูกว่ามีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าอยากจะเล่าให้พ่อแม่ฟังไหม แต่ถ้าลูกไม่อยากพูดก็ไม่คาดคั้น ทว่าเมื่อไรลูกมีท่าทีอยากพูดหรืออยากเล่าอะไรให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่ควรแสดงความกระตือรือร้น ให้ความสำคัญ และรับฟังเขาทันที
รับฟังลูกวัยรุ่นอย่างใส่ใจและเปิดใจ
ช่องว่างระหว่างวัยจะลดลงได้ด้วยการรับฟังอย่างเข้าใจ พ่อแม่ควรรับฟังลูกในทุกเรื่องราวอย่างใส่ใจ การที่จะเป็นผู้ฟังที่ดีได้นั้น พ่อแม่จะต้องเป็นคนมีเหตุผลและอดทนที่จะรับฟังลูกขณะที่ลูกพูด แม้ว่าสิ่งที่ลูกพูดอาจไม่เข้าท่า อาจดูไร้สาระ ไร้เหตุผลในความคิดของพ่อแม่ พ่อแม่ก็ต้องเปิดใจรับฟัง พยายามเข้าใจเรื่องราว เข้าใจว่าความคิดและความรู้สึกของลูก โดยไม่ด่วนสรุป ไม่ตัดสิน หรือรีบสั่งสอน ซึ่งจะทำให้ลูกคิดว่า พ่อแม่ไม่ฟังและไม่อยากพูดต่อ
กระตุ้นให้ลูกวัยรุ่นได้แสดงความคิดเห็น
การที่จะกระตุ้นให้ลูกวัยรุ่นได้พูดคุยแสดงความคิดเห็น ควรใช้คำถามประเภทปลายเปิดเพื่อกระตุ้นให้ลูกเล่า เช่น
- “เรื่องมันเป็นอย่างไร”
- “คำพูดอะไรของเพื่อนที่ทำให้ลูกโกรธ”
- “ลูกโต้ตอบเพื่อนอย่างไรเมื่อเพื่อนล้อเลียนลูก”
รวมทั้งการพูดถึงความรู้สึกของลูกตามที่พ่อแม่รับรู้และเข้าใจ เช่น
- “ลูกเสียใจที่เพื่อนเข้าใจลูกผิด”
- “ลูกหัวเสียที่เพื่อนไม่ช่วยงานในกลุ่ม”
ซึ่งคำพูดเช่นนี้จะทำให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่พร้อมจะรับฟังให้ความสำคัญกับตนเองและทำให้ลูกอยากเล่าเรื่องราวมากขึ้น
ให้ความเห็น คำแนะนำ และข้อเสนอแนะต่างๆ แทนการสั่งให้ลูกวัยรุ่นทำ
พ่อแม่สามารถให้ความคิดเห็น คำแนะนำ และข้อเสนอในเรื่องต่างๆ แก่ลูกวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การคบเพื่อน การปรับตัว แต่ควรเป็นลักษณะการแลกเปลี่ยน คือ ให้โอกาสลูกวัยรุ่นได้พูดถึงข้อคิดเห็นและมุมมองของลูกก่อน แล้วพ่อแม่ก็แสดงความคิดเห็นทั้งในแง่ที่พ่อแม่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของลูก ซึ่งการที่พ่อแม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้และสามารถให้ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะอีกด้านหนึ่งที่เป็นเหตุเป็นผลมาจากความห่วงใยและปรารถนาดี
การเป็นฝ่ายรับฟังและยอมรับลูกวัยรุ่นก่อน จะทำให้ลูกเปิดใจรับฟังพ่อแม่และยินดีปฏิบัติตามมากกว่าวิธีการสั่งให้เขาทำแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งมักตามมาด้วยท่าที่ต่อต้านไม่เชื่อฟังและขัดแย้งกัน
สอนลูกวัยรุ่นในบรรยากาศแบบสบายๆ
เคล็ดลับที่สำคัญ คือ หาโอกาสที่จะสอนในบรรยากาศที่ดีการสอนเรื่องอะไรก็ตามอย่าสอนหรือพูดคุยอย่างเป็นทางการเพราะลูกวัยรุ่นจะไม่เชื่อฟังอาศัยสอนอ้อม ๆ จากข่าวสารต่างๆเช่นจากการดูละครทีวีหนังสือพิมพ์รายการวิทยุโทรทัศน์ควรพูดคุยด้วยอารมณ์ขันและพยายามรับฟังความเห็นของเขารวมทั้งเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความเห็นในเรื่องราวต่างๆเป็นประจำฟังลูกวัยรุ่นให้มากและพยายามสอดแทรกข้อคิดเห็นต่างๆร่วมกันเมื่อลูกวัยรุ่นเริ่มคุ้นเคยก็พร้อมจะรับฟังมากขึ้น
พูดคุย และ สอนเฉพาะเรื่องที่จำเป็น
ลูกวัยรุ่นต้องการความเป็นส่วนตัว เรื่องบางเรื่องที่ลูกวัยรุ่นอาจไม่อยากให้รับรู้ ถ้าเห็นว่าไม่ร้ายแรงหรือไม่เป็นอันตรายก็ไม่ควรซักไซร้มากเกินไป เช่น ลูกชายอาจจะไม่อยากเล่าเรื่องสาวๆ บางคนที่เขาสนิท เพราะบางครั้งการพูดหรือซักถามด้วยความเป็นห่วงของพ่อแม่ อาจกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญ และส่งผลให้ลูกวัยรุ่นไม่อยากพูดคุยกับพ่อแม่
“เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว” เลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์การทำอาหาร
ถ้ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว (Kitchen Appliances) คงไม่ต่างจากอาวุธสำคัญที่ช่วยให้กองทัพเดินหน้าได้อย่างราบรื่น! การเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวจึงสำคัญมาก เพราะอุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันอย่างหม้อหุงข้าว หม้อทอดไฟฟ้า เตาอบไมโครเวฟ เตาไฟฟ้า หรือแม้แต่เครื่องชงกาแฟ นอกจากจะช่วยประหยัดเวลาให้ชีวิตง่ายขึ้นแล้ว การมีอุปกรณ์ดีๆ ติดครัวไว้ยังทำให้การทำอาหารสนุกขึ้นด้วย
แล้วยิ่งถ้าฟังก์ชั่นครบ ดีไซน์สวยก็เป็นเหมือนเครื่องประดับให้ครัวดูสวยน่าใช้ไปอีก เราจึงลิสต์ 10 เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวพร้อมวิธีเลือกซื้อมาฝากกัน ชิ้นไหนยังไม่มี ต้องรีบหามาครอบครอง!
เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว มีอะไรบ้าง?
1. หม้อหุงข้าว (Rice Cooker)
เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวประจำบ้านที่ปัจจุบันมี 3 แบบให้เลือกใช้ คือ แบบธรรมดา แบบอุ่นทิพย์ และหม้อหุงข้าวดิจิตอล (Digital Rice Cooker) ที่ทำได้มากกว่าหุงข้าว! การเลือกซื้อหม้อหุงข้าว ควรเลือกให้พอดีกับขนาดครอบครัวเพื่อช่วยประหยัดไฟ ซึ่งราคาหม้อหุงข้าวนั้นจะขึ้นอยู่กับฟังก์ชั่นการใช้งานครับ
2. หม้อทอดไฟฟ้า , หม้ออเนกประสงค์
เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเพื่อคนรักสุขภาพ การเลือกซื้อหม้อทอดไฟฟ้าให้เลือกจากความต้องการใช้เป็นหลักครับ เพราะหม้อทอดไฟฟ้ามีทั้งแบบไร้น้ำมันและแบบใช้น้ำมัน ที่สำคัญคือควรเลือกแบบที่สามารถถอดชิ้นส่วนด้านในออกมาทำความสะอาด และประกอบเก็บได้ง่าย ส่วนราคาหม้อทอดไฟฟ้าจะขึ้นอยู่กับความจุของหม้อ ซึ่งควรเลือกให้เหมาะกับพื้นที่จัดวางด้วยครับ
3. เตาไมโครเวฟ (Microwave)
อีกหนึ่ง เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว ที่เป็นที่นิยม ปัจจุบันมีทั้งแบบบิดหมุน และแบบปุ่มกดดิจิตอลซึ่งมีฟังก์ชั่นการทำงานเยอะกว่า และเป็นตัวกำหนดราคาไมโครเวฟครับ การเลือกซื้อไมโครเวฟให้พิจารณาจากความจุของไมโครเวฟ คุณภาพของวัสดุที่ใช้ผลิต รวมไปถึงระบบความปลอดภัยว่ามีสายดินหรือไม่
4. เตาอบไฟฟ้า (Electric Oven)
ปัจจุบันมีให้เลือกทั้งแบบเตาอบตั้งโต๊ะขนาดเล็ก เตาอบบิวท์อินขนาดใหญ่ และเตาอบไมโครเวฟที่นำฟังก์ชั่นของไมโครเวฟและเตาอบมารวมกันในเครื่องเดียว ซึ่งแต่ละชนิดรองรับการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกซื้อเตาอบไฟฟ้าจึงต้องคำนึงถึงรูปแบบการใช้งาน และพื้นที่ในการติดตั้งเป็นหลักครับ
5. เตาไฟฟ้า (Electric Stove)
หลักๆ แล้วแบ่งได้ 3 ประเภท คือ เตาไฟฟ้าแบบขดลวด (Hot Plate) , เตาแม่เหล็กไฟฟ้าแบบ Ceramic hob และเตาแม่เหล็กไฟฟ้าแบบ Induction Cooker ซึ่งแต่ละแบบมีวิธีนำความร้อนแตกต่างกัน มีข้อดี- ข้อเสียแตกต่างกัน การเลือกซื้อเตาไฟฟ้าจึงต้องเลือกให้สอดคล้องกับปัจจัยอื่นที่มีอยู่ เช่น ภาชนะที่ใช้งานควบคู่กันด้วยครับ ที่สำคัญอย่าลืมติดตั้งเครื่องดูดควัน เพื่อช่วยให้อากาศถ่ายเทด้วยนะครับ
6. กระติกน้ำร้อน , กาต้มน้ำ
น้ำร้อน คือสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำอาหาร หรือเครื่องดื่มหลากหลายประเภท กระติกน้ำร้อนดิจิตอล กับกาต้มน้ำไฟฟ้า จึงเป็นตัวเลือกที่ควรมีติดบ้านไว้ ปัจจุบันกระติกน้ำร้อนดิจิตอลบางรุ่นสามารถควบคุมอุณหภูมิน้ำได้ตามต้องการ การเลือกซื้อ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว ชนิดนี้ควรเลือกแบบที่มีระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อน้ำแห้ง หรืออุณหภูมิสูงกว่าปกติด้วยครับ
7. เครื่องชั่งอาหารดิจิตอล (Digital Scale)
เหมาะสำหรับคนชอบทำขนม หรือทำอาหารที่ต้องตวงส่วนผสมแบบเป๊ะๆ ปัจจุบันเครื่องชั่งมี 2 แบบ คือแบบเข็ม และตาชั่งดิจิตอลที่ให้ความแม่นยำสูงกว่า และใช้งานง่ายกว่าด้วยครับ
8.เครื่องชงชากาแฟ (Coffee Maker & Tea Machine)
จะดีแค่ไหน หากสามารถทำชากาแฟหอมกรุ่นได้เองที่บ้าน! เครื่องทำกาแฟ และเครื่องชงชา จึงเป็นไอเทมหนึ่งที่ควรมีไว้ครอบครอง ปัจจุบันเครื่องชงกาแฟมีหลายแบบ หลายฟังก์ชั่น ราคาเครื่องชงกาแฟก็มีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักแสน การเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟจึงต้องเลือกให้เหมาะกับงบประมาณและความต้องการใช้งานครับ
9. เครื่องปั่นผักผลไม้
เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว เอาใจคนรักสุขภาพอีกชิ้นที่ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย วิธีเลือกซื้อเครื่องปั่นผักผลไม้ควรเลือกที่มีกำลังไฟไม่ต่ำกว่า 200w. ฟังก์ชั่นการใช้งานครบครัน และโถปั่นแบบแก้วจะดีกว่าแบบพลาสติกครับ
- อ่านบทความเกี่ยวกับการเลือกซื้อตู้เย็นเข้าครัวเพิ่มเติมได้ที่ เลือกซื้อตู้เย็นอัจฉริยะอย่างไรให้คุ้มค่า สมราคากับครัวของคุณ
10. เครื่องคั้นและสกัดน้ำผักผลไม้
การทำงานอาจคล้ายกับเครื่องปั่น แต่มีรายละเอียดที่แตกต่างกันครับ การเลือกซื้อเครื่องทำน้ำผลไม้ประเภทนี้ ควรเลือกแบบเกลียวเพื่อช่วยให้ได้น้ำผลไม้เยอะกว่า และคงคุณค่าทางอาหารได้มากกว่าแบบแรงเหวี่ยงด้วยใบมีดครับ
การทำความสะอาดเครื่องครัว ก็เป็นเป็นสิ่งสำคัญที่เราอยากจะแนะนำ เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน อีกทั้งการทำความสะอาดเครื่องครัวอย่างสม่ำเสมอยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานได้มากขึ้นอีกด้วย จึงอยากขอแนะนำบริการดีๆ ที่จะมาช่วยเรื่องนี้ให้ทุกบ้านด้วยบริการล้างทำความสะอาดเครื่องดูดควัน, เตาแก็ส และอื่นๆ จาก Home Service โดยสามารถติดต่อสอบถามดังรายละเอียดด้านล่างนี้ได้เลยนะครับ
10 วิธีซักถุงเท้าให้ขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็นตอนใส่ !
2. ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
แช่ถุงเท้าในถังน้ำที่ผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 1 ถ้วยตวงก่อนนำไปซัก แล้วฉีดสเปรย์ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ลงไปบนถุงเท้าอีกรอบก่อนตาก หลังจากถุงเท้าแห้งก็จะกลับมาขาวสะอาดอีกครั้ง
3. น้ำยาล้างจาน
อยากให้ถุงเท้าขาวสะอาดก็ไม่ต้องไปหาตัวช่วยที่ไหนไกล แค่แช่ถุงเท้าในน้ำร้อนที่ผสมน้ำยาล้างจาน (สูตรมะนาว) ประมาณ ½ ถ้วยตวง ทิ้งไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็นำไปซักด้วยผงซักฟอกตามปกติ
4. เบกกิ้งโซดา
หากใช้ผงซักฟอกเพียงอย่างเดียวแล้วเอาไม่อยู่ ให้แช่ถุงเท้าทิ้งไว้ในน้ำร้อนก่อนนำไปใส่ในเครื่องซักผ้า จากนั้นก็เติมผงซักฟอกลงไป 2 ช้อนโต๊ะ เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำส้มสายชู 2 ออนซ์ แล้วเปิดเครื่องซักผ้าให้ทำงานตามปกติ เบกกิ้งโซดาจะช่วยขจัดคราบสกปรกออกจากถุงเท้าได้อีก 1 เท่าตัวเลยทีเดียว
5. ต้มถุงเท้าพร้อมมะนาวสไลด์
เทคนิคที่ช่วยให้ถุงเท้าขาวไปอีกนาน โดยการสไลด์มะนาวใส่ลงไปในน้ำร้อนแล้วนำถุงเท้ามาแช่ เปิดไฟที่เตาแก๊สระดับกลาง ต้มถุงเท้าทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที แล้วนำไปซักทำความสะอาดตามปกติค่ะ
หากผงซักฟอกธรรมดากำจัดคราบสกปรกบนถุงเท้าได้ไม่หมด ลองหาตัวช่วยการเพิ่มพลังซัก อย่างเช่น เติมน้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟอกเพิ่มลงไปในระหว่างการซัก หรือซักถุงเท้าด้วยน้ำร้อน เพียงเท่านี้ถุงเท้าก็จะกลับมาขาวสะอาดเหมือนใหม่แล้วล่ะ
เริ่มจากนำถุงเท้ามาแช่ในน้ำอุ่น 1 แกลลอนที่ผสมด้วยน้ำมะนาว 1 ถ้วยตวง ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นนำถุงเท้าไปซักในเครื่องซักผ้าด้วยน้ำอุ่น เติมผงซักฟอกลงไป 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำมะนาวอีก 1 ถ้วยตวง เมื่อซักทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็จะเห็นความแตกต่างหลัง-ก่อนซักถุงเท้าอย่างชัดเจน
8. บอแรกซ์ผสมผงซักฟอกแบบออกซิคลีน
แม้จะงัดเทคนิคซักถุงเท้าร้อยแปดอย่างออกมาใช้ ถุงเท้าก็ยังไม่ขาวสักที แนะนำให้ผสมผงบอแรกซ์และผงซักฟอก (ออกซิคลีน) ในประมาณที่เท่า ๆ กัน แล้วเติมลงไปในเครื่องซักผ้า ก็จะช่วยขจัดคราบลึกฝังบนถุงเท้าออกได้เช่นกัน
9. DIY ผงซักฟอกสูตรเกลือทะเล
อีกหนึ่งตัวเลือกในการซักถุงเท้าให้ขาวสะอาด เริ่มจากนำเบกกิ้งโซดา ½ ถ้วยตวง มาผสมกับเกลือทะเล ½ ถ้วยตวง โซดาซักผ้า 1½ ถ้วยตวง และกรดมะนาว 1½ ถ้วยตวง โดยใช้ส่วนผสมที่ได้ซักถุงเท้า 1 ช้อนโต๊ะต่อครั้งเท่านั้น
10. น้ำยาซักผ้าผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
ถ้าคราบสกปรกไม่ยอมออกง่าย ๆ เราขอแนะนำให้ผสมน้ำอุ่นกับผงซักฟอก 1 ช้อนโต๊ะ โซดาซักผ้า 1 ช้อนโต๊ะ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาวประมาณ 1 ลูก นำถุงเท้ามาแช่ลงในส่วนผสม 1 คืน แล้วค่อยซักถุงเท้าตามวิธีปกติ
ต่อไปนี้ปัญหาการซักถุงเท้าที่ทั้งสกปรกและมีกลิ่นเหม็นอับจะหมดไป ไม่ต้องนั่งขยี้ให้แสบมืออีกแล้ว แค่ลองนำวิธีซักถุงเท้าให้ขาวและเคล็ดลับดี ๆ เหล่านี้ไปใช้ รับรองว่าคุณแม่บ้านก็จะไม่เหนื่อยกับการซักถุงเท้าอีกต่อไป